ปัจจุบันนี้เราจะพบว่าสาว ๆ ส่วนใหญ่จะมีปัญหาเรื่องของผิวแพ้ง่าย ใช้อะไรก็แพ้ไปหมด จนไม่กล้าใช้อะไรกับผิวหน้า ลองมาดูกันว่าต้นเหตุของปัญหาเกิดจากอะไร และเราจะแก้ปัญหาผิวแพ้ง่ายหรืออาการระคายเคืองต่าง ๆ ได้อย่างไร รวมถึงวิธีการดูแลรักษาและฟื้นฟูสุขภาพผิวอย่างถูกต้องค่ะ
หลายคนเข้าใจว่าผิวแพ้ง่ายและผิวระคายเคืองเป็นเรื่องเดียวกัน พอผิวมีอาการระคายเคืองก็เหมารวมไปว่าเป็นคนผิวแพ้ง่ายไว้ก่อน ซึ่งความจริงแล้วอาจเป็นเพียงแค่ปฏิกิริยาระคายเคืองที่เกิดจากส่วนผสมบางอย่างในตัวผลิตภัณฑ์ ซึ่งส่วนใหญ่จะพบได้ในน้ำหอม สารกันเสียในเครื่องสำอาง น้ำยาย้อมผม เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีสารเคมีอื่น ๆ อีกมากที่พบได้ในสาขาอาชีพที่แตกต่างกันหรือการใช้ชีวิตประจำวันของแต่ละคน เช่น เภสัชกร ทันตแพทย์ หรือผู้ที่ทำงานในโรงงาน ทำงานกับสารเคมี ซึ่งอาการที่พบส่วนใหญ่คือ ผื่นแดง คัน เป็นผื่นเม็ดนูนใส หรือมีรอยคล้ำคล้ายฝ้า และเมื่อรักษาจนหายแล้วไม่ว่าจะนานแค่ไหนถ้ากลับไปสัมผัสกับสิ่งที่ก่อให้เกิดอาการแพ้อีก เซลล์ในร่างกายก็จะถูกกระตุ้นให้กลับมาทำปฏิกิริยาต่อต้าน ซึ่งส่วนใหญ่จะพบในคนที่มีผิวแห้ง
ส่วนผิวที่ระคายเคืองง่ายมีปัญหาพื้นฐานมาจากผิวที่แห้งมากซึ่งอาจเกิดจากผิวแห้งโดยกำเนิด ผิวแห้งเนื่องจากวัยที่เพิ่มขึ้น ความไม่สมดุลย์ของฮอร์โมน กรรมพันธุ์ โรคภูมิแพ้ การใช้ผลิตภัณฑ์ซึ่งมีส่วนผสมที่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองในความเข้มข้นสูง การอยู่ในห้องปรับอากาศตลอดเวลา การลอกหน้าขัดหน้า การใช้ผลิตภัณฑ์ประเภทต่อต้านริ้วรอยหรือผลัดเซลล์ผิวเก่าซึ่งส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมก่อให้เกิดการระคายเคือง เช่น แอลกอฮอล์ เรตินอล (กรดวิตามินเอ) กรดเอเอชเอ และบีเอชเอ การโดนแสงแดดจัดและมลภาวะเป็นเวลานาน ๆ ทำให้ผิวอ่อนแอและไวต่อสารบางชนิด ซึ่งเมื่อสัมผัสกับผิวจะเกิดอาการแห้ง ลอก ทำให้ใช้เครื่องสำอางต่าง ๆ ได้ยาก แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่สามารถใช้สารตัวนั้น ๆ ได้อีก เพราะในขณะนั้นผิวอาจกำลังอ่อนแอ ซึ่งหากสร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรงขึ้นด้วยการบำรุงผิว ให้ความชุ่มชื้น จนผิวกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิมก็อาจใช้ผลิตภัณฑ์ทั่ว ๆ ไปได้ตามปกติ
วิธีการเริ่มใช้เครื่องสำอางอย่างปลอดภัยสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย
- เริ่มใช้เครื่องสำอางทีละอย่างก่อน ไม่ว่าตอนซื้อจะซื้อมากี่ชนิด อย่างน้อย 2 - 3 วัน
- ถ้าไม่มีอาการระคายเคือง หรือผื่นแดง ค่อยเริ่มใช้ชิ้นที่สอง ต่ออีก 2 - 3 วัน
- ถ้าใช้แล้วมีผื่นแดง คัน ให้สังเกตว่าเริ่มมีผื่นแดงเมื่อใช้ผลิตภัณฑ์ชิ้นใด และควรหยุดใช้ แล้วปรึกษาแพทย์ผิวหนัง
การทดสอบผื่นแพ้สัมผัส (Patch Test)
เป็นวิธีการทดสอบอาการแพ้สารเคมีที่ทำให้เกิดผื่นแพ้ผิวหนังจากการสัมผัสกับสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น เครื่องสำอาง น้ำหอม ครีมทาผิว เสื้อผ้า โลหะ เครื่องประดับ เกสรดอกไม้ แมลง ฝุ่น ฯลฯ ซึ่งหากเราสงสัยว่าแพ้สารตัวใด ก็สามารถนำมาทดสอบได้ โดยเจ้าหน้าที่ทดสอบจะนำสารที่ผู้ป่วยนำมารวมทั้งสารที่แพทย์เลือกชนิดที่คาดว่าจะสัมพันธ์กับอาการผื่นแพ้ เป็นสารที่เราสัมผัสบ่อย ๆ ในชีวิตประจำวันหรือเป็นสารประกอบหลักในเครื่องสำอางโดยมีความเข้มข้นเหมาะสมสำหรับการทดสอบโดยไม่มีผลข้างเคียง เริ่มด้วยการหยอดสารลงในแผ่นหลุมอลูมิเนียม (Finn Chamber) แล้วแปะพลาสเตอร์ที่แผ่นหลังส่วนบนเพราะเป็นส่วนที่มีปฏิกิริยาต่อการแพ้ได้มากที่สุด โดยพยายามรักษาบริเวณที่ทดสอบให้แห้ง หลังจาก 48 ชั่วโมงจึงดึงเทปทดสอบออก สามารถโดนน้ำได้แต่ไม่ควรฟอกสบู่บริเวณที่ได้รับการทดสอบ จากนั้นไปพบแพทย์เพื่ออ่านผล บริเวณที่แพ้จะมีผื่นแดง คัน อย่างไรก็ตามผื่นเหล่านี้อาจเกิดจากการระคายเคืองก็ได้ ซึ่งหากเกิดอาการแพ้รุนแรงแพทย์ก็จะทำการรักษาให้หายต่อไป
สำหรับผู้ที่ไม่แน่ใจว่าแพ้เครื่องสำอางหรือไม่ สามารถลองทดสอบด้วยตนเองก่อนอย่างง่าย ๆ ด้วยวิธี Open Test โดยการทาผลิตภัณฑ์ที่ท้องแขนทุกเช้าเย็นหลังอาบน้ำ หากเกิดผื่นขึ้นภายใน 7 - 10 วัน ควรกลับมาพบแพทย์เพราะแสดงว่ามีโอกาสแพ้ได้
แนวทางการรักษา
ขึ้นอยู่กับลักษณะการแพ้ของแต่ละคน สำหรับการแพ้ระคายเคือง ต้องรักษาพื้นฐานผิวให้แข็งแรงก่อน การรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ พักผ่อนอย่างเพียงพอ ไม่เครียด หลีกเลี่ยงแสงแดดจัดและผลิตภัณฑ์ที่รุนแรงต่อผิว อาการแพ้สัมผัสนั้นไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ สิ่งเดียวที่ทำได้คือ หลีกเลี่ยงสารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้เหล่านี้เท่านั้น การแพ้อาจยังไม่เห็นผลในทันที แต่เกิดจากการสะสมอย่างต่อเนื่อง จนทำให้เกิดอาการแพ้ในที่สุด
จะเลือกผลิตภัณฑ์อย่างไร
โดยปกติเครื่องสำอางจะมีค่ามาตรฐานของส่วนผสมแต่ละชนิดและส่วนใหญ่จะมีการทดสอบอาการแพ้ก่อน ซึ่งอาจจะทดสอบในทุกขั้นตอนการผลิต หรือทดสอบเฉพาะสารพื้นฐานบางชนดที่มีความเสี่ยงต่ออาการแพ้ ระคายเคือง (Dermatological Test) ดังนั้นผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน ปราศจากสีและกลิ่น โดยใช้วิธี Open Test ที่ท้องแขนก่อน หรือพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำ Patch Test เพราะเราอาจจะกำลังสะสมสารที่แพ้อยู่โดยไม่รู้ตัวจนกว่าจะปรากฏอาการแพ้ให้เห็นชัดเจน
การปกป้องผิวให้แข็งแรง ปลอดภัยจากอาการระคายเคือง
- อย่าอยู่ในห้องนอนที่มีพรม หนังสือ หรือเอกสาร เพราะเป็นแหล่งสะสมของฝุ่น
- เลือกใช้ผ้าปูที่นอนชนิดกันไรฝุ่น
- อย่านอนในตำแหน่งที่โดนลมจากเครื่องปรับอากาศเพราะจะยิ่งทำให้ผิวแห้ง
- รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และดื่มน้ำมาก ๆ
- งดทานอาหารรสจัด ของหวานและของทอด
- เลือกใช้ผลิตภัณฑ์สูตรอ่อนโยน ปราศจากน้ำหอม และส่วนผสมที่มีสารออกฤทธิ์เข้มข้นมากเกินไป
- บำรุงผิวให้ชุ่มชื่นและปกป้องผิวจากแสงแดดอย่างสม่ำเสมอ
- ไม่ควรล้างหน้าบ่อยและน้ำไม่ควรร้อนเกินไป
- ควรเลือกผลิตภัณฑ์สำหรับผิวแพ้ง่าย ปราศจากน้ำหอม หากยังระคายเคืองอยู่แสดงว่าอาจแพ้สารประกอบอื่น ๆ ซึ่งควรพบแพทย์เพื่อทดสอบต่อไป
- หลีกเลี่ยงลิปสติกชนิดติดทนนาน (Long-lasting) ควรเลือกชนิดที่ให้ความชุ่มชื้นสูง
- อ่านฉลากและส่วนผสมก่อนซื้อผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะในกรณีที่รู้ว่าแพ้สารตัวใด